ชาวบ้าน ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด ปลูกต้นหัวปับไว้ในแปลงนาข้าว 1 ปี สามารถเก็บหัวไปต้มยำทำแกงได้ รสชาติเหมือนเผือก กรอบและหอม หากินยากใกล้สูญพันธุ์ขายกิโลกรัมละ 300 บาท
วันนี้ 6 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 8 ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของนางราตรี แซ่จี้ อายุ 43 ปี ได้ใช้ที่ดินว่างในแปลงนาข้าวเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ปลูกต้นปับหรือหัวปับ ซึ่งเป็นพืชที่มีหัวใต้น้ำและเติบโตได้ดีในดินเหนียวที่มีน้ำท่วมขัง โดยนำต้นพันธุ์มาจากบ้านของสามีซึ่งเป็นคนจีนที่นิยมปลูกไว้กินและขายในราคากิโลกรัมละ 300 บาท เมื่อกินแล้วเธอรู้สึกติดใจ จึงนำพันธุ์มาปลูกไว้ที่บ้านตัวเอง โดย 1 ปีต้นปับจะมีหัวให้เก็บ 1 ครั้ง ลักษณะหัวเล็ก ขนาดเท่าลูกปิงปอง เนื้อในเป็นสีขาว รสชาติคล้ายเผือก หรือเม็ดขนุนต้มสุก สามารถนำมาต้มยำทำแกง ผัด หรือทำอาหารต่าง ๆ ได้ทุกชนิด
โดยต้นปับหรือหัวปับมีคนปลูกน้อยจนแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากเก็บหัวได้แค่ปีละ 1 ครั้ง แต่เธอมีพื้นที่ว่างจึงนำมาขยายพันธุ์ และรอเวลาเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี ส่วนช่วงหน้าแล้งน้ำแห้ง หัวปับก็จะแห้งแต่มีไหลหรือเหง้าฝังตัวอยู่ใต้ดินโคลน พอฝนตกมีน้ำเข้านา ต้นปับก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ใบลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมเรียวยาว เป็นพืชน้ำที่ดูแลง่าย ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง ต้นปับก็จะขยายพันธุ์ออกไปเรื่อย ๆ คล้ายผักตบชวาหรือพืชน้ำทั่วไป แต่พิเศษตรงที่มีหัวกลม ๆ ที่สามารถนำมารับประทานได้ ซึ่งคนรุ่นหลังแทบไม่มีใครเคยกินหัวปับหรือไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย แม้จะปลูกง่ายแต่หลายคนมองเป็นวัชพืชและเก็บหัวได้ปีละครั้ง จึงไม่มีใครปลูก ทำให้หัวปับราคาสูงถึง 300 บาทต่อ 1 กิโลกรัมไปแล้ว
ด้านนางราตรี แซ่จี้ เกษตรกรผู้ปลูกต้นปับชาวตำบลท่างิ้ว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง กล่าวว่า เอาไปทำเป็นอาหารได้ เอาไปผัดทำแกง รสชาติเหมือนเผือก ตอนนี้ไม่ค่อยมีขาย ถ้าขายกิโลกรัมละ 300 บาท และคิดจะปลูกต่อ ปลูกไว้เล่น ๆ ก็ได้ผล ซึ่งที่เก็บได้ตอนนี้ก็เอาไปทำอาหาร โดยตนเริ่มกินมา 2-3 เดือนกินแล้วก็เลยติดใจ และเอามาปลูกบ้าง ซึ่งคุณแม่ก็เคยกิน 2-3 ครั้งแล้ว คุณแม่ก็ชอบและบอกว่าอร่อยดี.
